• 17 June 2022
  • กลยุทธ์

คู่มือกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม

กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มคืออะไร และฉันจะสร้างกลยุทธ์ได้อย่างไร?

หากคุณคุ้นเคยกับการเทรดอยู๋แล้ว คุณย่อมรู้จักแนวโน้ม แนวโน้มจะแสดงทิศทางของราคา มันอาจเป็นการเคลื่อนที่ขึ้นด้านบน ลงด้านล่าง หรือออกข้างก็ได้ หากเทรดเดอร์เข้าใจวิธีการกำหนดแนวโน้ม พวกเขาจะไม่ค่อยมีปัญหาในการเปิดสถานะ เทรดเดอร์ต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการเทรดตามแนวโน้มเพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ บทความนี้จะพิจารณาที่เคล็ดลับการเทรดตามแนวโน้มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มที่น่าตื่นเต้นและเรียบง่ายที่สุด

กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้มคืออะไร?

ในการสร้างกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มที่มีประสิทธิภาพ คุณจะต้องรู้จักวิธีการเทรดตามแนวโน้มเสียก่อน การเทรดตามแนวโน้มในตลาดฟอเร็กซ์เป็นรูปแบบการเทรดยอดนิยมของเทรดเดอร์ที่ใช้ประโยชน์จากราคาที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่ทำการซื้อขายในตลาดที่มีแนวโน้ม เทรดเดอร์จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากและให้ความสนใจกับสัญญาณต่าง ๆ ของการกลับตัวที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะทำให้พวกเขาต้องผิดหวังอย่างแน่นอน จอร์จ โซรอส คือหนึ่งในเทรดเดอร์ที่เทรดตามแนวโน้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยกลยุทธ์การซื้อขายแบบติดตามแนวโน้มของเขาช่วยให้เขาคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของตลาดได้หลายครั้งเลยทีเดียว

ประโยชน์ของกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม

การเทรดตามแนวโน้มมีข้อได้เปรียบหลายประการเหนือรูปแบบการเทรดแบบอื่น ๆ ข้อดีหลัก ๆ ของการใช้วิธีนี้มีอะไรบ้าง?

  • การเทรดตามแนวโน้มสามารถนำไปสู่กำไรที่มากขึ้นได้ หากคุณเทรดตามแนวโน้ม คุณจะสามารถอยู่ในสถานะที่ได้กำไรได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนั้น มันจึงสามารถเพิ่มผลลัพธ์ของคำสั่งซื้อขายของคุณให้ได้สูงสุด ผู้ที่เทรดตามแนวโน้มจะสามารถเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงมาตรฐานจาก 1: 3 เป็น 1: 4 หรือสูงกว่านั้นได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

  • การเทรดตามแนวโน้มมีต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่า ซึ่งแตกต่างจากการเทรดแบบ Scalping และการเทรดตามแนวโน้มนั้นไม่จำเป็นต้องเปิดหลายสถานะ ด้วยวิธีนี้ คุณจะประหยัดเงินได้เพราะคุณไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชันและค่าสเปรดของทุกคำสั่งซื้อขายที่คุณเปิด

  • การเทรดตามแนวโน้มจะช่วยประหยัดเวลาได้ โดยเฉลี่ยแล้วเทรดเดอร์ต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงในการตรวจสอบกราฟและตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของพวกเขาในตอนที่พวกเขาเทรดตามแนวโน้ม คำสั่งซื้อขายอาจเปิดอยู่เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์หากแนวโน้มมีความแข็งแกร่ง ซึ่งทำให้มีเวลาเหลือไปทำกิจกรรมอื่น ๆ

เปิดบัญชีทดลอง

การติดตามแนวโน้มใช้กับหุ้นได้ไหม?

การจัดการกับกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มจำเป็นต้องใช้กฎการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะเทรดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือตลาดฟอเร็กซ์ก็ตาม คุณสามารถพบแนวโน้มได้บนทุก ดังนั้นคุณสามารถลองใช้กลยุทธ์การติดตามแนวโน้มบนตราสารใด ๆ ก็ได้ที่คุณชอบ

เทรดเดอร์ผู้มีชื่อเสียงที่เทรดตามแนวโน้มมีใครบ้าง?

เทรดเดอร์ที่เทรดตามแนวโน้มที่ประสบความสำเร็จสามารถทำเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ด้วยทักษะการเทรดตามแนวโน้ม กลยุทธ์ และความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างตลาด เราได้เน้นไปแล้วว่า จอร์จ โซรอส เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลต่อแนวทางการเทรดตามแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายคนที่เราสามารถพูดถึงได้

Ed Seykota เป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงในด้านการเทรดตามแนวโน้ม เขาเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่ได้ถูกสัมภาษณ์ใน "Market Wizards" โดย Jack Schwager ด้วยเงินทุนเพียง $5,000 เขาสามารถทำเงินได้มาถึง $15 ล้าน ในช่วง 12 ปี

อีกหนึ่งตำนานของการเทรดตามแนวโน้มคือ David Harding ซึ่งเป็นซีอีโอของ Winton Capital กองทุนที่เทรดตามแนวโน้มของเขามีสินทรัพย์มูลค่าสูงกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ

ลำดับสุดท้าย คุณคงเคยได้ยินเรื่องราวของ Jesse Livermore ซึ่งเป็นวีรบุรุษในหนังสือ "Reminiscences of a Stock Operator" เทรดเดอร์บางคนขนานามว่าเขาเป็นบิดาแห่งแนวทางการเทรดตามแนวโน้ม ในปี 1929 เขามีเงินมากถึง 100 ล้านดอลลาร์ หากคิดเป็นเงินในสมัยนี้ ก็ราว ๆ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลางสังหรณ์ของเขาที่มีต่อตลาดเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากซะจนทุกวันนี้เขาก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับเทรดเดอร์

นี่คือเทรดเดอร์ที่เทรดตามแนวโน้มบางส่วนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ผู้ที่ได้เปลี่ยนพลังและทักษะของตนให้กลายเป็นเงิน บางทีคุณอาจจะเป็นคนต่อไปที่ติดในรายชื่อนี้ก็ได้นะ!

วิธีการสร้างกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม

ขั้นตอนแรกในการสร้างกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มนั้นสำคัญที่สุด นั่นคือการกำหนดแนวโน้ม คุณสามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยตนเองหรือใช้ตัวบ่งชี้

ผู้ที่มีประสบการณ์ในการเทรดจะมองเห็นแนวโน้มได้ในพริบตา วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้นคือการเชื่อมต่อจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด คุณต้องเชื่อมต่ออย่างน้อยสองจุดบนกราฟ หากราคาสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น เทรดเดอร์อาจพูดได้ว่าราคากำลังเคลื่อนไหวภายในแนวโน้มขาขึ้น ในทางกลับกัน หากราคาก่อตัวเป็นจุดต่ำสุดที่ต่ำลงและจุดสูงสุดที่ต่ำลง นั่นหมายถึงคุณกำลังเผชิญกับแรงกดดันในขาลงซึ่งมีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นแนวโน้มขาลง

ในภาพด้านบน เราสามารถระบุแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนหลังจากเชื่อมต่อจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ชัดเจนที่สุดของ EURUSD บนกราฟรายวัน ราคาก่อตัวเป็นจุดต่ำสุดที่ต่ำลงและจุดสูงสุดที่ต่ำลง ยิ่งไปกว่านั้น ราคาได้มีการเคลื่อนไหวภายในช่องแนวโน้มขาลง นั่นคือการปรับสมดุลระหว่างเส้นทแยงมุมสองเส้นที่จำกัดราคาจากทั้งฝั่งบนและฝั่งล่างโดยไม่มีการทะลุออกไป ราคาได้เคลื่อนไหวภายในช่องนี้มานานเกือบเก้าเดือนแล้ว ดังนั้น แนวโน้มขาลงนี้จึงถูกมองว่ามีความแข็งแกร่ง

การเทรดตามแนวโน้มโดยใช้เส้น moving averages

เทรดเดอร์ที่เทรดตามแนวโน้มส่วนใหญ่จะชอบสร้างระบบการเทรดตามแนวโน้มมากกว่าการใช้กราฟเปล่า การตั้งค่าที่ซับซ้อนเหล่านี้จะรวมถึงการนำตัวบ่งชี้ทางเทคนิคมาใช้กับกราฟ มีตัวบ่งชี้ติดตามแนวโน้มหลายตัวที่สามารถช่วยคุณได้ moving averages ได้รับความนิยมมากที่สุด โดย moving averages มีอยู่หลายประเภท ได้แก่ simple, exponential, linear weighted และ smoothed ซึ่งแต่ละประเภทจะมีฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่แตกต่างกันอยู่เบื้องหลัง

Simple moving average (MA) เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มันจะแสดงราคาเฉลี่ยของช่วงเวลาที่พิจารณา

Exponential MA และ linear weighted MA จะคำนวณราคาล่าสุดด้วยค่าสัมประสิทธิ์ที่สูงกว่า ทั้งคู่จะให้สัญญาณเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม พวกมันอาจให้ข้อมูลที่ล่าช้า ระวังด้วยนะ!

Smoothed MA มีพื้นฐานมาจาก simple MA มันจะล้างการเคลื่อนไหวของราคาออกจากความผันผวนให้มากที่สุด

Moving averages ที่ดีที่สุดสำหรับการระบุแนวโน้มคือ simple และ smoothed moving averages เทรดเดอร์สามารถกำหนดช่วงเวลาที่แตกต่างกันของ MA เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มได้ โดยทั่วไป เทรดเดอร์จะยึด simple moving average 200 ช่วง ซึ่งแสดงถึงความเอนเอียงเรื่องทิศทางของตลาด

การตีความสุดคลาสสิกของกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มด้วย simple moving average 200 ช่วง นั้นตรงไปตรงมา หากราคาเคลื่อนไหวอยู่เหนือ moving average นั่นแสดงว่ามีโมเมนตัมขาขึ้น ในกรณีนั้น คุณต้องพิจารณาเปิดสถานะ long ในทางกลับกัน หากราคาเคลื่อนที่ลงต่ำกว่าเส้น SMA 200 ช่วง นั่นแสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับแนวโน้มขาลง

บนกราฟรายวันของ EURUSD ด้านบน คุณจะเห็นว่าราคาได้สร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเมื่ออยู่เหนือเส้น moving average ในทางกันคือข้าม คือมันจะทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลงและจุดสูงสุดที่ต่ำลง เมื่อมันอยู่ใต้เส้น moving average

ตัวบ่งชี้ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

มีตัวบ่งชี้อีกตัวหนึ่งที่สามารถเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพเมื่อต้องทำงานกับแนวโน้ม ดัชนีความแข็งแกร่งของแนวโน้ม (TTI) ที่พัฒนาโดย M. H. Pee เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มในตลาด โดยจะเปรียบเทียบสัดส่วนของราคาในช่วง 30 วัน ก่อนหน้าที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าเส้น moving average 60 วัน ของวันนี้

มันคำนวณจากค่า MA 60 วัน ของวันนี้และความเบี่ยงเบนของแต่ละวันเป็นหลัก ค่าเบี่ยงเบนจะถูกคำนวณจากส่วนต่างระหว่างราคาปิดและราคาเฉลี่ย การเบี่ยงเบนขึ้นจะให้ผลเป็นบวก ในขณะที่การเบี่ยงเบนลงจะให้ผลเป็นลบ สูตรของตัวบ่งชี้ TII มีลักษณะดังนี้:

ดัชนีความแข็งแกร่งของแนวโน้ม (TII) = (ผลรวมขึ้น / (ผลรวมขึ้น + ผลรวมลง)) × 100

ตัวบ่งชี้ความแข็งแกร่งของแนวโน้มจะสมดุลระหว่าง 0 ถึง 100 หากค่า TII ต่ำกว่า 50 แนวโน้มจะเป็นขาลง เมื่อขยับเข้าใกล้ 20 แนวโน้มขาลงจะแข็งแกร่ง ในทางกลับกันหาก TII สูงกว่า 50 แนวโน้มจะเป็นขาขึ้น ยิ่งตัวบ่งชี้อยู่ใกล้ 80 มากเท่าไร แนวโน้มขาขึ้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น คุณสามารถดาวน์โหลดดัชนีความแข็งแกร่งของแนวโน้มสำหรับ Metatrader 5 ได้จากเว็บไซต์ MQL5 อย่างเป็นทางการ

กราฟด้านบนจะแสดงให้เห็นจังหวะที่ราคากำลังพุ่งขึ้น และตัวบ่งชี้ได้อยู่เหนือระดับ 80 แต่พอราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ ตัวบ่งชี้ TII กลับลดลงต่ำกว่า 20 นอกจากนี้ เราอาจสังเกตเห็นว่าแม้ดัชนีความแข็งแกร่งของแนวโน้มจะดูเหมือนแม่นยำ แต่มันกลับเป็นตัวบ่งชี้ที่ล่าช้า คุณจะเห็นได้จากการดูที่ขอบด้านขวาของสี่เหลี่ยมสีเขียว โดยที่ราคากลับตัวเป็นขาลงแต่ตัวบ่งชี้ยังคงแสดงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ดังนั้น คุณสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือเพิ่มเติมในการหาแนวโน้ม แต่ไม่อาจใช้เป็นตัวให้สัญญาณได้

เส้นแนวโน้มและรูปแบบกราฟ

รูปแบบกราฟมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการเทรดตามแนวโน้ม หากเทรดเดอร์ที่เทรดตามแนวโน้มมีประสบการณ์ในการทำงานกับรูปแบบกราฟ มันจะช่วยให้พวกเขาสามารถคาดการณ์การกลับตัวหรือความต่อเนื่องของแนวโน้มได้ เทรดเดอร์บางคนจะสร้างกฎระบบการเทรดตามแนวโน้มทั้งหมดตามรูปแบบกราฟ ไปดูรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกัน

รูปแบบ Head and shoulders

รูปแบบ head and shoulders มักจะก่อตัวขึ้นในตอนท้ายของแนวโน้มขาขึ้น มันจะประกอบไปด้วยส่วนหัว (ยอดที่สองและยอดที่สูงที่สุด) ไหล่สองข้าง (ยอดที่ต่ำกว่า) และแนวคอเสื้อที่เชื่อมต่อจุดต่ำสุดของรูปแบบและทำหน้าที่เป็นระดับแนวรับ แนวคอเสื้ออาจจะเป็นแนวนอนหรือลาดขึ้น/ลาดลงก็ได้ หากราคาทะลุลงต่ำกว่าแนวคอเสื้อหลังจากสร้างไหล่ที่สอง รูปแบบจะได้รับการยืนยันและคุณจะเห็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง รูปแบบนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ที่เทรดตามแนวโน้มออกจากสถานะ long และเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวขาลงครั้งใหม่

ในทางกลับกัน ยังมีรูปแบบ inverse head and shoulders pattern ที่ปรากฏขึ้นในตอนท้ายของแนวโน้มขาลงและส่งสัญญาณจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น

Double top และ double bottom

รูปแบบ double top pattern จะประกอบไปด้วยสองยอดติดต่อกันที่มีความสูงใกล้เคียงกัน โดยมีระยะห่างระหว่างกันเล็กน้อย รูปแบบนี้จะส่งสัญญาณว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง เช่นเดียวกับรูปแบบ head and shoulders คุณสามารถลากเส้นแนวคอเสื้อผ่านจุดต่ำสุดของรูปแบบนี้ได้

นอกจากนี้ยังมี รูปแบบ double bottom ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการกลับตัวเป็นขาขึ้น

รูปแบบกราฟต่อเนื่อง

เทรดเดอร์ที่ต้องการยืนยันแนวโน้มที่แข็งแกร่งจะพบว่ารูปแบบกราฟต่อเนื่องนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง มีรูปแบบ triangles, flags, pennants, wedges และ rectangles Triangles และ flags เป็นจุดที่สังเกตเห็นได้ง่ายที่สุด

Triangle

รูปแบบ triangle มีสามประเภท: ascending, descending และ symmetrical

  • หากคุณเจอรูปแบบ ascending นั่นแสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นมีโอกาสไปต่อ

  • ในกรณีที่เจอรูปแบบ descending คุณจะต้องเตรียมตัวสำหรับแนวโน้มขาลง

  • ในกรณีที่เจอรูปแบบ symmetrical triangle นั่นหมายถึงทั้งกระทิงและหมีต่างก็ไม่ได้ครองตลาด

Symmetrical

ในภาพด้านบน คุณจะเห็นตัวอย่างของรูปแบบ symmetrical triangle หากคุณวางคำสั่งซื้อเหนือจุดสูงสุดที่ต่ำลงและใต้จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น คำสั่งซื้อของคุณจะเปิดสักทางแน่นอน หากคำสั่งซื้อฝั่งหนึ่งถูกเปิด ก็อย่าลืมยกเลิกคำสั่งซื้ออีกฝั่ง

Flag

รูปแบบ flag จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการสะสมราคาหลังจากที่มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมีนัยสำคัญ มันประกอบไปด้วยเส้นขนานสองเส้นและเสาธง รูปแบบ bullish fla จะปรากฏขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้น (ดูภาพด้านล่าง) ในทางกลับกัน รูปแบบ bearish flag จะส่งสัญญาณความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง

ดังที่คุณเห็นในภาพด้านบน รูปแบบ bullish flag เป็นการยืนยันที่ดีของการไปต่อของโมเมนตัมขาขึ้น หากมันปรากฏขึ้นบนกราฟ คุณจะต้องถือสถานะ long ไว้

ในขณะที่การรู้รูปแบบกราฟนั้นจะช่วยให้เทรดเดอร์เทรดภายในแนวโน้มได้ การตั้งค่าการเทรดตามแนวโน้มที่ดีที่สุดนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การซื้อขายด้วยเช่นกัน ไปดูวิธีการเทรดด้วยกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มอย่างถูกต้องกัน!

คู่มือกลยุทธ์การเทรด

มีกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มมากมาย แต่มีไม่มากนักที่มีกฎการเปิดสถานะที่เข้มงวด บางคนบอกว่า "ซื้อต่ำ ๆ และขายสูง ๆ" แต่บางคนก็ใช้ตัวบ่งชี้เพียงตัวเดียว (เช่น RSI) และไม่จำเป็นต้องวาง stop-loss

บทความนี้จะยกตัวอย่างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพพร้อมกฎการเปิดสถานะที่ง่ายและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ไปดูการตั้งค่ากัน!

การตั้งค่ากลยุทธ์การซื้อขาย

ตราสาร: ทุกตราสาร

กรอบเวลา: รายวัน หรือ H4 เหมาะสมที่สุด

ตัวบ่งชี้: SMA-200, 20, และ 50, Average True Range

กฏในการเปิดสถานะ Long:

  1. ตรวจสอบแนวโน้มทั่วไป เราต้องเห็นราคาอยู่เหนือเส้น SMA 200 สำหรับการเปิดสถานะ long

  2. รอให้ราคาทดสอบแนวรับแบบไดนามิกระหว่างเส้น MA 20 และ 50 สองครั้ง

  3. เปิดสถานะที่ราคาปิดของแท่งเทียนขาขึ้นแท่งถัดไปหลังการทดสอบ

  4. คำนวณ stop-loss ด้วย 2*ATR แล้วนำค่าที่ได้ไปลบจากราคาที่คุณเข้า

  5. ปิดคำสั่งซื้อขายเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าเส้น SMA 50

มาลองพิจารณาตัวอย่างนี้กัน บนกราฟ H4 ของ EURUSD คู่นี้ได้เคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้น SMA 200 (เส้นสีน้ำตาล) ดังนั้น ราคาจึงเคลื่อนไหวภายในแนวโน้มขาขึ้น พอราคาแตะเส้น SMA 20 (เส้นสีแดง) เป็นครั้งที่สาม เราได้พิจารณาเปิดสถานะ long แท่งเทียนแท่งแรกหลังการทดสอบเส้น SMA 20 ปิดด้วยสีเขียว เราได้เปิดคำสั่งซื้อที่ราคาปิดของแท่งเทียนนั้นที่ 1.2847 หลังจากนั้น เราได้คำนวณหาระยะวาง stop-loss – 2 * ATR:

จุดเข้า = 1.2847

ATR = 0.0024

Stop-loss = 1.2847-0.0048 = 1.2799

หลังจากที่ราคาร่วงลงต่ำกว่า SMA-50 (เส้นสีเหลือง) เราจะปิดสถานะที่ 1.3250 เราได้กำไรไป 4,030 จุด

กฏในการเปิดสถานะ Short:

  1. ตรวจสอบแนวโน้มทั่วไป เราต้องเห็นราคาอยู่ต่ำกว่าเส้น SMA 200 สำหรับการเปิดสถานะ short

  2. รอให้ราคาทดสอบความต้านแบบไดนามิกระหว่างเส้น MA 20 และ 50 สองครั้ง

  3. เปิดสถานะที่ราคาปิดของแท่งเทียนขาลงแท่งถัดไปหลังการทดสอบ

  4. คำนวณ stop-loss ด้วย 2*ATR แล้วนำค่าที่ได้ไปบวกกับราคาที่คุณเข้า

  5. ปิดคำสั่งซื้อขายเมื่อราคาข้ามเส้น SMA 50 ขึ้นด้านบน

ในกราฟ EURUSD เดียวกัน ราคาได้เริ่มเคลื่อนที่ลงต่ำกว่าเส้น SMA 200 (เส้นสีน้ำตาล) หลังจากที่ราคาแตะเส้น SMA-20 (เส้นสีแดง) เป็นครั้งที่สาม เราได้เปิดคำสั่งขายที่ราคาปิดของแท่งเทียนขาลงที่ 1.5387 ส่วน Stop-loss จะถูกคำนวณเป็น 1.5387+2 * 0.00468 = 1.5481

หลังจากที่ราคาทะลุขึ้นเหนือเส้น SMA 50 (เส้นสีเหลือง) เราปิดคำสั่งซื้อขายที่ 1.4841 ทำให้ได้กำไรไป 5,460 จุด

สรุป

การเทรดตามแนวโน้มเป็นวิธีการทั่วไปที่อาจนำผลลัพธ์ที่ดีมาให้ได้ จงติดตามแนวโน้มตลาดและรู้จักวิธีขี่มันอย่างถูกต้องแล้วคุณจะไม่ผิดหวัง ใครจะรู้เนอะ บางทีคุณอาจจะเป็นเศรษฐีผู้เทรดตามแนวโน้มคนต่อไปก็ได้

เทรดเลย

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ: